PDA

แสดงเวอร์ชันเต็ม : รบกวน......แวะมาอ่านนิดหนึ่งคับ.



namwhanyo@hotmail.com
06-08-2010, 21:55
.ขอขอบคุณเจ้าของเรื่องเป็นอย่างสูง..:21-7::21-7::21-7:
ขอฝากเรื่องราวดีมาให้อ่านกัน...แง่คิดดีๆ จากชายชราผู้จากไปโดยพิษณุ นิลกลัดสัปดาห์สุดท้ายของปี 2548 ผมไปงานสวดและงานเผาศพผู้ชายวัย 81 ปีผมรู้จักเขามา ยาวนาน 30ปี ไม่ใช่ญาติแต่สนิทนักรักใคร่เสมือนญาติก่อนเสียชีวิตไม่กี่วันเขาสั่งลูกและภรรยาแบบคนไม่ครั่นคร้ามความตายว่าสวดสามวัน แล้วเผา ไม่ต้องบอกใครให้วุ่นวายอย่าเศร้า อย่าร้องไห้ทุกคนต้องมีวันนี้ เพียงแต่เขาอยู่หัวแถวเลยต้องไปก่อนแล้วลูกเมียก็ทำตามคำสั่งสวดสามวันเผางานสวด 3คืนมีคนฟังพระสวดคืนละ 14 คน คือ เมีย ลูก หลาน เขย สะใภ้ และผมซึ่งเป็นคนนอกเป็นงานศพที่มีคนไปร่วมงานน้อยที่สุดเท่าที่ผมเคยไปฟังสวดวันเผามีเพิ่มเป็น 17 คนสามคนที่เพิ่มเป็นเพื่อนบ้านที่เคยคุยด้วยเกือบทุกเย็นคนหนึ่งเป็นแม่ค้าล็อตเตอรี่ที่เคยยืมเงินแล้วไม่มีสตางค์จ่ายเลยเอาล็อตเตอรี่ทยอยผ่อนใช้หนี้แทนเงินงวดละสองใบคนหนึ่งและคนสุดท้ายเป็นหญิงที่ผู้ตายเคยผูกปิ่นโตทุกมื้อเย็นทั้งสามคนบอกว่าเกือบมาไม่ทันเผาเคราะห์ดีที่แวะไปเยี่ยมที่โรงพยาบาลเจ้าหน้าที่บอกว่าเสียชีวิตไปแล้ว 3 วันหลังฌาปนกิจพระกระซิบถามเจ้าหน้าที่วัดว่าเจ้าของงานจ่ายเงินค่าศาลาสวดพระอภิธรรมแล้วหรือยังพระท่านคงไม่เคยเห็นงานศพที่มีคนน้อยแบบที่ผมก็รู้สึกตั้งแต่สวดคืนแรกจริงๆแล้วผู้ตายเป็นคนค่อนข้างมีสตางค์ทำงานธนาคารแห่งประเทศไทยจนเกษียณอายุที่ตำแหน่งหัวหน้าหน่วยแต่ด้วยความที่รักและศรัทธา อาจารย์ป๋วย อึ๊งภากรณ์ อดีตผู้ว่าการแบงค์ชาติจึงดำเนินชีวิตแบบไม่ปรารถนาให้ใครเดือนร้อนแม้กระทั่งวันตายผมสนิทกับเขาเพราะเขามีความฝันในวัยเด็กอยากเป็นนักประพันธ์แบบไม้เมืองเดิมที่เขาเคยนั่งเหลาดินสอและวิ่งซื้อโอเลี้ยงให้เมื่อตัวเองเป็นนักเขียนไม่ได้พอมาเจอะผมที่เป็นนักข่าวก็เลยถูกชะตาและให้ความเมตตาการมีโอกาสได้พูดได้คุยกับเขาตามวาระโอกาสตลอด 30 ปีทำให้ได้แง่คิดดีๆ มาใช้ในการดำรงชีวิตวันหนึ่งเขารู้ว่าขโมยยกชุดกอล์ฟของผมไปสองชุดราคา 4 แสนกว่าบาทเขาปลอบใจผมว่าของที่หายเป็นของฟุ่มเฟือยของเราแต่มันอาจเป็นของจำเป็นสำหรับลูกเมียครอบครัวเขา“คิดซะว่าได้ทำบุญจะได้ไม่ทุกข์ “เขามีวิธีคิด' เท่ห์ๆ 'แบบผมคิดไม่ได้มากมายเป็นต้นว่าสุขและทุกข์อยู่รอบตัวเราอยู่ที่ว่าเราจะเลือกหยิบเลือกคว้าอะไรคงเป็นเพราะเขาเลือกคว้าแต่ความสุขช่วงปีสุดท้ายของชีวิตเขาต่อสู้กับโรคชรา เบาหวาน หัวใจ ความดัน เกาต์และไตทำงานเพียง 5 เปอร์เซ็นต์โดยไม่ปริปากบ่นแถมยังสามารถให้ลูกชายขับรถพาเที่ยวในวันหยุดสุดสัปดาห์โดยที่ตัวเองต้องหิ้วถุงปัสสาวะไปด้วยตลอดเวลาเนื่องจากไตไม่ทำงาน ปัสสาวะเองไม่ได้6 เดือนสุดท้ายของชีวิตต้องนอนโรงพยาบาลสามวันนอนบ้านสี่วันสลับกันไปเวลาลูกหลานหรือเพื่อนของลูกรวมทั้งผมด้วยไปเยี่ยมที่โรงพยาบาลเขามีแรงพูดติดต่อกันไม่เกิน 10 นาทีแต่ 10 นาทีที่พูดมีแต่เรื่องสนุกสนานเรียกรอยยิ้มและเสียงหัวเราะจากคนไปเยี่ยมไข้ทุกคนพูดตรงกันว่า' คุณตาไม่เห็นเหมือนคนป่วยเลยตลกเหมือนเดิมพอแขกกลับลูกหลานถามว่าทำไมคุยแต่เรื่องตลกเขาตอบว่า' ถ้าคุยแต่เรื่องเจ็บป่วยวันหลังใครเขาจะอยากมาเยี่ยมอีก ' เขาเป็นคนชอบคุยกับผู้คนไม่ว่าจะอยู่บนเตียงคนไข้หรืออยู่บนรถแท็กซี่บ่อยครั้งที่นั่งรถถึงหน้าบ้านแล้วแต่สั่งให้โชเฟอร์ขับวนรอบหมู่บ้านเพราะยังคุยไม่จบเรื่องแล้วจ่ายเงินตามมิเตอร์ !4 เดือนสุดท้ายของชีวิตแพทย์ที่รักษาโรคไตมาตั้งแต่สมัยเป็นแพทย์อินเทิร์นจนกระทั่งเป็นหัวหน้าแผนกแนะนำให้พักรักษาตัวในโรงพยาบาลให้แข็งแรงแล้วค่อยกลับบ้านแต่อยู่ได้ 4 วันเขาวิงวอนหมอว่าขอกลับบ้าน หมอซึ่งรักษากันมา 16 ปีไม่ยอมเขาพูดกับหมอด้วยความสุภาพว่าขอให้ผมกลับบ้านเถอะผมอยากฟังเสียงนกร้องคุณหมอไม่รู้หรอกว่าคนคิดถึงบ้านมันเป็นอย่างไรเพราะพอเสร็จงานหมอก็กลับบ้าน 'หมอได้ฟังแล้วหมดทางสู้ ยอมให้คนไข้กลับบ้านแต่กำชับให้มาตรวจตรงตามเวลานัดทุกครั้ง1 เดือนถึงวาระสุดท้ายของชีวิตเขาสูญเสียการควบคุมอวัยวะของร่างกายเกือบทั้งหมดเคลื่อนไหวได้อย่างเดียว คือกะพริบตาแต่แพทย์บอกว่าสมองของเขายังดีมากเวลาลูกเมียพูดคุยด้วยต้องบอกว่า' ถ้าได้ยินพ่อกะพริบตาสองที 'เขากะพริบตาสองทีทุกครั้ง !เห็นแล้วทั้งดีใจและใจหายเขายังรับรู้ แต่พูดไม่ได้นี่กระมังที่เรียกว่าถูกขังในร่างของตนเองสิบวันก่อนพลัดพรากภรรยากระซิบข้างหูว่า ' พ่อสู้นะ ' เขาไม่กะพริบตาซะแล้ว ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้สองเดือนเคยตอบว่า ' สู้ ' เขาสู้กับสารพัดโรคด้วยความเข้าใจโรคสู้ชนิดที่หมอออกปากว่า ' คุณลุงแกสู้จริงๆ ' ตอนที่วางดอกไม้จันทน์ผมนึกถึงประโยคที่แกพูดกับลูกเมื่อสี่เดือนก่อนว่า' โรคภัยมันเอาร่างกายของพ่อไปแล้วอย่าให้มันเอาใจของเราไปด้วย'แง่คิดดีๆจากชายชราที่จากไป ' สอนให้เรารู้ว่า...เราเกิดมาพร้อมกับจิตใจบริสุทธิ์ และมันสมองมหัศจรรย์ที่จะสามารถเรียนรู้ แยกแยะเรื่องดีๆและสิ่งร้ายๆในชีวิตจงใช้โอกาสดีๆที่ร่างกายและจิตใจของเรายังทำอะไรๆได้อย่างที่สมองสั่งจงเรียนรู้ และสร้างประโยชน์สุขให้กับตนเองและผู้อื่นอย่างพอเพียง และดำรงชีวิตอย่างพอเพียงทางเศรษฐกิจหากทุกๆครั้งที่เรียนรู้ เราล้ม เราพลาด...อาจจะรู้สึกท้อบ้างในบางทีแม้ไม่มีกำลังกายที่จะลุกในทันที .... แต่ขอให้มีกำลังใจที่จะสู้ต่อไปถ้าเราเรียนรู้...ก็จะทำให้เราพบว่าการล้มหรือพลาดครั้งต่อไปเราจะไม่เจ็บเท่าเดิม ....