ดูที่ไมล์สะสมรถก็ได้ครับเติมน้ำมันเต็มถัง แกสเต็มถัง 156764 กิโล ตอนนี้วิ่งมา 817 ไมล์สะสม 157594 ครับ
Printable View
ดูที่ไมล์สะสมรถก็ได้ครับเติมน้ำมันเต็มถัง แกสเต็มถัง 156764 กิโล ตอนนี้วิ่งมา 817 ไมล์สะสม 157594 ครับ
ลืมครับตอนรีเซ็ต วิ่งมา ประมาณ 14 กิโลแล้ว ถ้าตามไมล์สะสม ต้องวิ่งได้ 830 กิโล/นำมันครึ่งถัง
น่าสนใจมาก แล้วรถน้า Auto หรือ MT ครับ ของผม 2500 4WD AUTO ใส่แม็ก 20 ไม่รู้จะประหยัดได้เ่ท่านี้หรือเปล่า ตอนนี้เต็มที่ 12 กม/ล ครับ
ล่าสุดน้ำมันหมดถังถึงขีดล่างไฟยังไม่โชว์ได้ตามรูปครับ ไม่มีตังค์เลยเติมน้ำมัน 700 แก๊ส 300 พอ แล้วสำหรับขับมาทำงานอีก 4 วัน วันละ 130 กิโลเอาใว้เป็นสถิติครับ 1 ถัง 1400 กิโล แก๊ส 2 ถัง
ไมล์สะสมตอนเติมน้ำมันเต็มถัง 156764 กิโล ตอนนี้วิ่งมา 1581647 ครับ ได้ 1403 กิโลโดยน้ำมัน 1 ถังไฟยังไม่โชว์ตอนเติมอาวีบอกวิ่งได้ 1311 กิโลนี้ทะลุขึ้นมาเกือบ 100 กิโลคิดค่าใช้จ่าย น้ำมันเต็มถังน่าจะอยู่ที่ 1710 บาทนะครับเพราะก่อนกลับบ้านปีใหม่เติมเท่านี้เติมถัง แก๊ส 2 ถัง 653 บาท
ค่าใช้จ่ายต่อกิโล 1710 + 653 ได้ 2363/1403 ได้ 1.68 บาท/กิโล
น้ำมันตก 1710/1403 ตก 1.21 บาท/กิโล
แก๊ส 653/1403 ตก 0.46 บาท/กิโล
ลืมถ่ายรูปก่อนเติมน้ำมันครับมัวไปคุยกับเด็กอยู่เรื่องขอบิลกลับมาเติมแล้วเลยได้รูปตอนที่เติมน้ำมันแล้วเติม 700 ได้มาครึ่งถัง
สุดยอดดดดดด...เลยคับ 1 ถัง 1400 กม.มีเคล็ดลับดีๆเป็นพิเศษหรือเปล่าคับน้า..
จากที่ปรับน้ำมันและแก๊ส ผลที่ได้คือน้ำมันต้องเหมาะสมของผมเพิ่มน้ำมันมา 15 นาทีจากของเดิมที่ อ.ต้นปรับให้ ส่วนแก๊สหมุนจนตัวปรับหลุด หมุนคืนครึ่งเลียวครับ จากที่ทดสอบยิ่งลดน้ำมันยิ่งต้องกดคันเร่งเพิ่มเพื่อให้มีแรงฉุดตัวรถ ตัว 4 คูณ 4 4 ประตู เกียร์ธรรมดา ตอนนี้จ่ายน้ำมันใกล้ของเดิมของเดิมรู้ได้จากเสียงเขกที่เครื่องมีมาให้ได้ยินเบาๆ
ถ้าน้ำมันล้วนๆเสียงเขกจะดังมากรู้ได้เลยแต่รถก็แรงสุดๆเหยียบเป็นพุ่ง ปีโป้ 3.0 นี้ไล่เกาะตูด สบายๆ แต่ก็แซงไม่ได้ เดิมๆรถผมวิ่งได้อยู่ 190 แบบปล่อยไหล 180 แบบกวดขึ้นเลย เป็นมาตั้งแต่ออกรถใหม่ๆแล้วครับ วันติดแก๊ส อ.ต้น กดไปที่ 185 ในระยะทางสั้นๆ ส่วนสุดๆยังไม่ได้ลองเพราะไม่เคยได้ไปไหนคนเดียวมี เด็กๆ หรือไม่ก็ผู้สูงอายุโดยสารไปด้วยตลอดอย่างมากแค่ถนนโล่งก็ 180 ไล่เขม่าบ้าง แต่ยอมรับว่าไมล์มันอ่อน แต่ไล่ปีโป้กับฟอร์ได้ก็พอใจแล้วครับสำหรับตัว 2500 ซีๆ
ตอบทีละข้อนะครับ
1 น้ำมันน้อยรถจะไมมีแรงต้องกดคันเร่งมากขึ้น ถึงจะมีแก๊สช่วยก็ยังชดเชยน้ำมันไม่ได้ร้อยเปิร์เซ็น
2 น้ำมันมากเกินไปไม่ได้ช่วยอะไรเลยเปลืองอย่างเดียวเพราะ ซีๆ รถจะเป็นตัวควบคุมอยู่แล้วถ้าเราไม่ไปปรับแต่งอุปกรณ์ตัวอื่นช่วย หลักการรถก็คล้ายคน กินมากแรงมาก แต่กินมากก็ต้องคายให้ทันไม่ทันจุก
3 ปรับน้ำมันพอดี เอาแก๊สมาเสริม จะช่วยเรื่องการเผาไหม้ที่สมบูรณ์กว่า อย่างอื่นก็เลยตามมา แต่ขึ้นอยู่กับพื้นฐานของรถด้วย ถ้าเดิมๆๆ ประหยัดดีอยู่แล้วก็จะไม่เห็นผลที่ชัดเจนเท่าที่ควร
ดังนั้น การปรับน้ำมันที่ดีที่สุดคือให้ใกล้กับของเดิม แต่มาชดเชยด้วยการเอาแก๊สเข้าไปช่วย ทำให้ปกติวิ่งรถที่ 100 กม/ชัวโมง ใช้รอบ 2200 รอบ/นาที พอ ใช้กล่องควบคุมจะจ่ายน้ำมันที่ 1600 รอบ/นาที ที่เหลือจะเป็นแก๊ส ดังนั้นวิ่ง 100 กม/ชม รอบเครื่องยนต์ 2200 เหมือนเดิม แต่ใช้น้ำมันจริงน้อยกว่าเพราะมีแก๊สมาเสริม ส่วนกล่องแล้วแต่คนที่ออกแบบว่าจะคุมที่ตัวไหนอย่างไร
ตาแจ๊คติดต่อ อ ต้นเลยแก่มีสมาร์จเกจ นะ ส่วนผมใช้อาวี
ยอดเยื่ยมจริงๆเลยครับ สำหรับคำอธิบาย เป็นท่านแรกครับที่ตีแตกฉานในงานที่ผมได้ทำไป ถูกต้องเลยครับตามหลักการที่ว่าไว้ครับ ส่วนรายละเอียดปลีกย่อยต่างๆก็ใช้ประสบการณ์ที่สะสมมาครับ ซึ่งโดยส่วนใหญ่ผมจะปรับจูนได้ก็ประมาณ 95 % ส่วนอีก 5 % ผู้ใช้เองจะเป็นคนเติมเต็มอีกทีด้วยเหตุผลที่ว่า ในรุ่นเดียวกัน แต่คนละคันกันยังได้ไม่เท่ากัน อยู่ที่ความสมบูรณ์ของเครื่องยนต์ นิสัยการขับของผู้ขับขี่ ดังนั้นผู้ใช้จะเป็นผู้เติมเต็มในส่วนที่เหลือครับ ส่วนบางคันผมปรับให้แบบ 100 % ก็มีแต่มันก็ยากมากที่จะได้ถึงขนาดนั้น ดังนั้นประสบการณ์ต้องบวกกับเครื่องมือที่ดีจึงจะสำเร็จได้ด้วยดีครับ กำลังเก็บตังค์หา RV มาติดในรถเพื่อจะได้ค่าที่ดีแบบสุดๆกันไปเลยครับ
น้าสัก จบปทุมวัน มาเหรอครับ
ขอถามอัตราประหยัดหน่อยนะครับ ไม่ทราบผมจะคิดถูกหรือเปล่า
ปกติน้าขับขี่ ได้ที่ 15 กม/ 1 ลิตร ผมตีที่ น้ำมันลิตรละ 30 บาทก็ = กิโลเมตร ละ 2 บาท
แต่พอน้ามาติด Lpg กับ อ.ต้น แล้วได้ ระยะทางที่ 25กม./ 1 ลิตร ผมตีเท่ากันที่ 30 บาทก็ = กิโลเมตร ละ 1.20 บาท เท่ากับประหยัดขึ้น 80 สตางค์
แต่น้าสักต้องเติมแก๊ส ที่ 19กม. / 1 ลิตร ผมคิดราคา Lpg ทั่วไป 11.25/1กก. = กิโลเมตร ละ 0.592 บาท
2 - (1.20+0.592)= 0.208
ความประหยัดของน้า ก็จะเพิ่มขึ้นประมาณ 20 สตางค์ ต่อ 1 กิโลเมตร ใช่มั้ยครับ ??
ก็เท่ากับ ปกติน้ามีค่าใช้จ่ายอยู่ที่ 2 บาท/1กม. แต่ตอนนี้จะเหลืออยู่ที่ 1.80บาท/1กม.
ไม่ทราบว่าผมคิดประมาณคร่าวๆ แบบนี้ถูกมั้ยครับ
ใช่ครับสำหรับรถเดิมๆคนที่ได้ความประหยัดที่ 15 กม/ลิตร ผมว่าไม่คุ้มกับการลงทุน แต่ถ้าชอบแรงโดยไม่ง้อกล่องก็โอเค ครับ แตของใครที่ 11 - 12 กม/ลิตรน่าลงทุนครับประหยัดได้ประมาณ 50 สตางค์/กม ก็โอเคแล้วครับ (วิ่ง 1000 กม ได้เงินคืนประมาณ 500) สำหรับผม 1000 กม ได้เงินคืนแค่ 300 บาท ต้องวิ่ง 60000 กม ถึงจะคืนทุนครับ
ตกลงผมคิดผิดเหรอครับ ของน้าประหยัด 30 สตางค์ต่อ 1 กิโล เหรอครับ
น่าสนครับ ประหยัดเพิ่มขึ้น พร้อมแรงไปในตัว ขับแบบไม่ต้องกังวลเหยียบได้เต็มเท้าหน่อย:emotion_006_onion:
แล้วส่วนเรื่องเครื่องยนต์ที่สึกหรอล่ะครับ จะหมดสภาพก่อนอายุการใช้งานจริง มันจะเหลือเท่าไหร่:yenta4-emoticon-001
คิดมากไปน่า.....เรื่องสึกหรอมันไม่ได้เป็นอย่างที่ได้ข้อมูลมาหรอกครับ บางครั้งการศึกษาข้อมูลมากๆก็อาจทำให้เราหลงทางได้เช่นกัน ณ.เวลานี้เรื่องดีเซลใช้ร่วมแก๊สมีน้อยคนมากที่จะเข้าใจได้ทะลุปรุโปร่ง เพราะมันยังใหม่สำหรับช่างบ้านเราและโดยพื้นฐานของช่างแล้วมักจะทำตามๆกันโดยไม่ค่อยได้ทำการศึกษาทดลองอย่างจริงจัง และจากข้อมูลที่ผ่านๆมาก็มักจะพังกันส่วนใหญ่ หรือไม่ก็ติดแล้วไม่ได้ความประหยัดเท่าที่ควร อันนี้ต้องเข้าใจว่ามันเป็นผลเสียที่ตามมาจากการติดตั้งและปรับใช้อย่างผิดวิธีทั้งสิ้น
คราวนี้เรามาดูที่โครงสร้างของเครื่องยนต์ดีเซลกันครับ โดยพื้นฐานมันถูกสร้างมาเพื่อให้ทนแรงอัดที่สูง หัวลูกสูบหนาเป็นนิ้ว กระบอกสูบก็หนาและมีความแข็งแรงเพื่อที่สามารถรับแรงอัดในกระบอกสูบได้อย่างสบายๆ
ทีนี้เรามาดูหลักการที่ถูกต้องกันครับ การใช้เชื้อเพลิงร่วม ไม่ว่าจะเป็น NGV LPG หรือ HYDROGEN เราเอาไปเป็นแค่ตัวเสริมในการเผาไหม้ที่ดีขึ้นเท่านั้น ส่วนผลที่ตามมาคือผลพลอยได้ครับ ในการจุดระเบิดในแต่ละครั้งเชื้อเพลิงเผาไหม้ได้แค่ 60-70 % เท่านั้น ดังนั้นเราจะสูญเสียกำลังและเชื้อเพลิงทิ้งไปเปล่าๆอีกประมาณ 30 % แต่เมื่อเราใช้แก๊สผสมเข้าไปพร้อมอากาศ โดยปริมาณที่เหมาะสมแล้ว แก๊สเหล่านี้จะผสมกันกับอากาศก่อนที่จะเข้ากระบอกสูบเรียกได้ว่าไปรออยู่แล้วทุกซอกทุกมุม ดังนั้นเมื่อจุดระเบิดในแต่ละครั้งมันจะลุกไหม้ได้อย่างทั่วถึง จึงทำให้ได้กำลังเครื่องยนต์ที่เพิ่มขึ้น และส่งผลทำให้เกิดความประหยัดตามมาเพราะเชื้อเพลิงในส่วนที่เผาไหม้ไม่หมดอีกประมาณ 30 % ที่ได้กล่าวมาแล้วนั้น ได้ใช้ประโยชน์อย่างเต็มที่
คราวนี้มาดูกันว่ามันจะสึกหรอมากไปกว่าเดิมไหม ผมยกตัวอย่างละกันในกลุ่มแต่งรถที่ปลดบูท ดันราง ยกหัวฉีด ใช้ความเร็วระดับ 180 ความร้อนหม้อน้ำเฉียด 100 องศากันทั้งนั้นไม่ยักกลัวการสึกหรอ แต่พอรู้ว่ามีแก๊สเข้าไป คิดทันทีเลยมันต้องสึกหรอแน่ๆ เราอย่าเอาแนวคิดเดิมๆกับเครื่องยนต์เบนซินใช้แก๊ส 100 % มาเป็นบรรทัดฐาน อันนั้นสึกหรอเร็วกว่าเดิมแน่ ผมเปรียบเทียบง่ายๆครับ ถ้ารถเราสามารถวิ่งได้ 180 กม./ชม. แต่เราใช้งานแค่ 120 กม./ชม.ท่านว่ามันจะสึกหรอเพิ่มขึ้นไหม
เรามา ZOOM ZOOM กันที่ห้องเผาไหม้กันครับความร้อนย่อมเพิ่มขึ้นกว่าเดิมแน่นอนครับเพราะเผาไหม้รุนแรงขึ้น (แค่ในระดับหนึ่งที่ปลอดภัย) คราวนี้ก็เป็นหน้าที่ของน้ำหล่อเย็น และน้ำมันเครื่องอีกส่วนหนึ่ง ถ้าตราบใดที่มันยังสามารถระบายความร้อนได้ทันโดยที่อุณหภูมิน้ำไม่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมเลิกกังวนได้เลยครับว่ามันจะสึกหรอ จุดที่รับแรงกระทำที่เพิ่มขึ้นจะมีแค่หัวลูกสูบ กับหัวฉีดเท่านั้น ก็ไม่รู้ว่าทำยังไงถึงให้มันสึกหรอไปได้ ส่วนแหวนลูกสูบและกระบอกสูบใช้ดีเซลเพียวๆมันก็สึกหรอตามอายุใช้งานของมันอยู่แล้วแต่มันคงไม่สึกมากขึ้นเพราะมีแก๊สเข้าไปร่วมเผาไหม้ด้วยละมั๊ง สมมุติว่าการจุดระเบิดของดีเซลที่อุณหภูมิหัวลูกสูบประมาณ 400 องศา แต่ถ้าหากมีแก๊สเข้าไปแล้วอุณหภูมิเพิ่มขึ้นอีก 3 % ก็จะเป็น 412 องศา มันนีสเดียวเอง เท่าที่ผมเคยใช้อินฟาเรดวัดอุณหภูมิวัดที่ฝาสูบ กับท่อไอเสีย ใช้ความเร็วทดสอบ 100 กม./ชม.แล้วจอดรถวัดดู มันแทบไม่มีความแตกต่างกันเลย ดังนั้นสบายใจได้ครับ แต่ที่จะสึกหรอมากกว่าเดิมน่าจะมาจากผู้ใช้ครับ เครื่องแรงขึ้น ประหยัดกว่าเดิม คราวนี้ขับมันส์ เหยียบไม่ยั้ง อันนี้น่ากลัวกว่าครับ
สวัสดีครับอ.ต้น คำถามแบบนี้แหละครับที่โทรมาหาผม ในหัวข้อ plus+lpg 3.2+lpg 2.5auto+lpg 4x4+lpg รวมที่อ.ต้นติดตั่งไปเกือบ50คันยังไม่มีคันไหนพังเลยผมใช้อยู่พังไม่พังโดนใบสั่งจากเพชรบุรี 129km./hเพราะอัดตลอดถึงชุมพร เครื่องเหมือนเดิม แต่ไม่เหมือนเดิมคือขับมันส์มากๆครับ ผมขอสนับสนุนการใช้lpgรว่มdeselอีก1เสียงครับ:smiley-transport016
ของผม ตอนนี้ 10โล/ลิตร เกียร์ออโต้จะช่วยได้มั้ยน้อ ล้อ20 ยกนิดนึง นั่งรออยู่เหมือนเดิม
อย่าคิดมากเรื่องเครื่องสึกหรอครับมันไม่มากมายจนใจหายหรอกครับ เพราะเราไม่ได้ดัดแปลงเครื่องใดๆทั้งสิ้น 100 เปอร์เซ็นต์ อันนี้ดีครับสูตร อ ต้น ไม่ได้ดัดแปลงเครื่องยนต์ขอย้ำอีกครั้ง ติดแล้วจะขายรุ ถอดถังและชุดแก๊สออก เอาท่อหายใจ้ดิมๆ และท่อน้ำท้ายเครื่องเข้าหม้อต้มออกใส่ของเดิมๆ รับรองไม่มีใครรู้ว่าเครื่องติดแก๊สมา เพราะอย่างที่ อ ต้น บอก เครื่องดีเซลมันโคตรอึดเพราะทำงานที่แรงอัดสูง สูงจนผมกลัวว่าแก๊สจะควบแน่นเป็นน้ำอีกในกระบอกสูบเลยนะครับ ดังนั้นแรงจุดระเบิดที่ได้มาไม่เกินกว่าที่ดีเซลเพรียวๆหรอกครับ
และตัวดีเซลเองก็มีกำมะถันเยอะกว่า แก๊น นะครับลองศึกษาดู ถ้าจำได้ตอนที่น้ำมันแพงรัฐบาลน้ามัครมีโครงการซื้อน้ำมันถูกจากรัสเซีย อันนี้น่ากลัวกว่าเพราะเป็นน้ำมันคุณภาพต่ำเท่ากับน้ำมันที่เราใช้เมื่อ 20 ปีที่แล้วราคาไม่ถึง 10 บาทนะครับทำไมถูกเพราะมีสารปนเปื้อนเยอะโดยเฉพาะกำมะถันเมื่อจุดระเบิดแล้วก็เกาะตามชิ้นส่วนอื่นๆร่วมถึงท่อไอเสีย มันจึงขาดบ่อยๆไงครับ และถ้าใครเป็นช่างอยู่จะรู้ว่าเขาไม่แนะนำให้ใช้น้ำมันดีเซลล้างชิ้นส่วนเครื่องจักร รู้ไหมครับว่าเพราะอะไร คำตอบเพราะมีกำมะถันครับมันจะกัดชิ้นส่วนดังนั้นถ้าใครเอาดีเซลล้างชิ้นส่วนโลหะมันจะวาวดีครับเพราะโดนกัดไปแล้ว ตามคู่มือเครื่องจักรแนะนำให้ใช้น้ำมันก๊าซ ครับล้างชิ้นส่วนไม่เห็นบอกใช้ด๊เซลสิซึ่งราคาถูกว่า
ส่วนเครื่องรับลองไม่พังชัวร์ครับ 100 เปอร์เซ็น ตามสภาพปกตินะครับไม่รวมคนที่ไม่ดูแลรถนะเพราะถ้าเดิมๆแต่คุณไม่ดูแลมัน มันก็พังเหมือนกันทุกวันนี้ลองเปลี่ยนใช้น้ำมันดูมันก็ได้ระยะทางและความประหยัดเหมือนเดิม แสดงว่าเครื่องยังฟิตอยู่หลังจากติดแก๊สใช้งานมาเกิน 10000 กม แล้วได้เงินคืนมาประมาณ 3000 ถึง 4000 บาทแล้วตอนนี้รอให้ได้ 60000 กม ก็คืนทุนแล้วครับ