สรุปผลการค้นหา 1 ถึง 10 จากทั้งหมด 10

กระทู้: สอบถาม ครับ ไม่ทราบว่าเกด วัดบูส และ ส่วนต่างๆ ของรถจำเป็นไหมครับ

  1. #1
    สมาชิกถาวร TTC-Member
    สมัครเมื่อ
    Jun 2009
    User ID
    7359
    Status
    Offline
    โพส
    241

    มาตรฐาน สอบถาม ครับ ไม่ทราบว่าเกด วัดบูส และ ส่วนต่างๆ ของรถจำเป็นไหมครับ

    สวัสดีครับ เพื่อนสมาชิกทุกท่าน เนื่องด้วยมีข้อสงสัยครับ ไม่ ทราบว่า เกดวัด แต่ ละ อย่าง ประมาณ 4 ตัว วัดเทอร์โบ วัดเท็ม วัด ความรัอนหม้อน้ำ วัดแบต ตัวไหนจำเป็น ครับ ตอนนี้ รถ ผม ไทรตัน พลัส 2500 ใส่ไปแล้ว วัดบูส วัด แบต และจะใส่เพิ่มวันนี้ เป็นทามเมอร์ ครับ ไม่ทราบว่ารถเดิมๆ ควรใส่ไหม
    รบกวนพี่ ๆ ด้วย ครับ ขอคุณครับ

  2. #2
    สมาชิกถาวร TTC-Member
    สมัครเมื่อ
    Jun 2009
    User ID
    7157
    Status
    Offline
    โพส
    45

    มาตรฐาน Re: สอบถาม ครับ ไม่ทราบว่าเกด วัดบูส และ ส่วนต่างๆ ของรถจำเป็นไหมครับ

    ไม่รู้ผมโรคจิตรึป่าวนะครับ สงสัยเหนี่ยวจนเครื่องพังมาหลายก้อน ตอนนี้เลยหลอนครับ


    สำหรับผม รถทุกคันถ้าจะติดเกจ ต้องมีวัด Oil Press กะ Oil temp ยืนพื้นครับ อันนี่สำหรับคนอื่นผมไม่รู้นะครับว่าจะเห็นความสำคัญรึป่าว แต่สำหรับผมสำคัญมาก แรงดันตกเมื่อไหร่ บรรลัยเกิดแน่ๆครับ ส่วน Oil Temp ก็ คอยดูว่าน้ำมันเดือดรึยัง และแรงดันตกที่อุณหภูมิเท่าไหร่ (แอบเอาไว้วัดคุณภาพน้ำมันได้ด้วย อิอิ)


    ตามมาก็คือ Water Temp แล้วก็ บูส ครับ ส่วนแบต ไม่ติดครับ สังเกตุอาการจากหน้าปัดเอา หุหุ

  3. #3

    มาตรฐาน Re: สอบถาม ครับ ไม่ทราบว่าเกด วัดบูส และ ส่วนต่างๆ ของรถจำเป็นไหมครับ

    อ้างอิง โพสต้นฉบับโดยคุณ PAT2009 ดูโพส
    สวัสดีครับ เพื่อนสมาชิกทุกท่าน เนื่องด้วยมีข้อสงสัยครับ ไม่ ทราบว่า เกดวัด แต่ ละ อย่าง ประมาณ 4 ตัว วัดเทอร์โบ วัดเท็ม วัด ความรัอนหม้อน้ำ วัดแบต ตัวไหนจำเป็น ครับ ตอนนี้ รถ ผม ไทรตัน พลัส 2500 ใส่ไปแล้ว วัดบูส วัด แบต และจะใส่เพิ่มวันนี้ เป็นทามเมอร์ ครับ ไม่ทราบว่ารถเดิมๆ ควรใส่ไหม
    รบกวนพี่ ๆ ด้วย ครับ ขอคุณครับ

    ควรใส่มั้ย ? ผมว่ารถเดิมๆมามันก็ใส่ของที่ควรใส่มาครบแล้วนะผมว่า

    ถ้าจะใส่เพิ่มก็ถามตัวเองไปว่า ใส่เอาสวยหรือเอาใช้งาน

    เพื่อความสวยงาม ก็เอายี่ห้อ cop ตามตลาดเยอะแยะ หรือเอา แบรนใหม่ๆทำมาสวยๆก็เยอะ ไม่แพงด้วย

    แต่ถ้าติดใช้งาน+เงินถึงก็ Defi ไปเลยคับทั้ง boot oil press temp time เยอะแยะคับ

  4. #4
    สมาชิกถาวร TTC-Member
    สมัครเมื่อ
    Jun 2009
    User ID
    7359
    Status
    Offline
    โพส
    241

    มาตรฐาน Re: สอบถาม ครับ ไม่ทราบว่าเกด วัดบูส และ ส่วนต่างๆ ของรถจำเป็นไหมครับ

    และอีกตัวหนึ่ง...ทามเมอร์ครับไม่ทราบว่าพอจำเป็นหรือเปล่า..รถเดิมวิ่งไกล้สลับไกลบ้างเป็นบางครั้ง

  5. #5
    สมาชิกถาวร: TTC-00254 TTC-Member
    สมัครเมื่อ
    Jan 2008
    User ID
    61
    Status
    Offline
    โพส
    4,677

    มาตรฐาน Re: สอบถาม ครับ ไม่ทราบว่าเกด วัดบูส และ ส่วนต่างๆ ของรถจำเป็นไหมครับ

    อ้างอิง โพสต้นฉบับโดยคุณ PAT2009 ดูโพส
    และอีกตัวหนึ่ง...ทามเมอร์ครับไม่ทราบว่าพอจำเป็นหรือเปล่า..รถเดิมวิ่งไกล้สลับไกลบ้างเป็นบางครั้ง
    ถ้าเป็นคนที่รีบร้อนพอจอดรถลงรถเลย ก็ติดดีกว่าครับ ช่วยถนอมเทอร์โบ

    แต่ถ้าเป็นคนไม่รีบร้อนก่อนถึงที่หมายขับแบบคลานๆเข้าไป แล้วยังจอดนั่งเล่นสัก 1 นาที ก็ไม่ต้องติดก็ได้ครับ

    แต่ผมว่าติดดีกว่าครับ มีประโยชน์กว่าครับ บางยี่ห้อ มีทั้งวัดบูสท์ วัดแบต ในตัวด้วยครับ

  6. #6
    สมาชิกถาวร: TTC-00254 TTC-Member
    สมัครเมื่อ
    Jan 2008
    User ID
    61
    Status
    Offline
    โพส
    4,677

    มาตรฐาน Re: สอบถาม ครับ ไม่ทราบว่าเกด วัดบูส และ ส่วนต่างๆ ของรถจำเป็นไหมครับ

    อันนี้เอามาฝากครับ

    ความรู้เรื่องเกจ์วัดต่างๆ

    1. มาตรวัดบูสต์ (BOOTS METER)มาตรวัดตัวนี้จะเห็นในรถยนต์แทบทุกคันที่มีการติดตั้งเทอร์โบเข้าไป รวมถึงรถยนต์ที่มีเทอร์โบมาจากโรงงานก็อาจจะมีตัวนี้มาให้ เนื่องจากมันเป็นตัวบ่งบอกสำคัญให้ผู้ขับขี่ทราบว่า มีแรงดันอากาศ หรือแรงบูสต์เข้ามายังเครื่องยนต์มากน้อยเพียงไร มาตรวัดตัวนี้โดยปกติบนหน้าปัด จะมีค่าตัวเลขด้านล่างขึ้นมาที่ 0 ซึ่งเป็นค่าของ แวคคั่ม หรือ แรงดันลบ และจาก 0 ขึ้นไป จะเป็นของเทอร์โบ หรือ แรงดันบวก และในส่วนของเทอร์โบนี่เองที่จะเป็นส่วนบ่งบอกว่า เทอร์โบ กำลังทำงานอยู่สำหรับการดูค่าอัตราบูสต์เทอร์โบนั้น ถ้าหากว่าเข็มบนมาตรวัดเดินช้ามาก เป็นตัวแสดงให้เห็นอย่างหนึ่งว่า เทอร์โบมีขนาดใหญ่เกินไป ส่งผลให้ไอเสียที่ไปปั่นใบเทอร์โบไม่พอ การแก้ไขก็น่าจะเป็นการเปลี่ยนเป็นแคมฯ องศาสูง
    รือไม่ก็เปลี่ยนจังหวะของวาล์วเป็นต้น นอกจากนี้หากบนมาตรวัดชี้ว่ามีแรงบูสต์สูงเกินไปจากที่มีการตั้งค่าเอาไว้ ก็อาจจะสรุปได้ว่าเกิดปัญหาขึ้นที่สปริงวาล์วของเวสต์เกต ที่เป็นตัวควบคุมแรงดันบูสต์ของเทอร์โบเป็นต้น สำหรับมาตรวัดอัตราการบูสต์นี้ อาจจะมีค่าการวัดไม่เหมือนกัน บางครั้งอาจบ่งบอกค่าการวัดเป็น Bar (บาร์) หรือว่า psi (ปอนด์) อีกทั้งค่าสูงสุดของมาตรวัดบูสต์ ก็ไม่เท่ากัน จึงควรเลือกใช้งานให้เหมาะสมกับความต้องการ

    2. มาตรวัดอุณหภูมิเครื่องยนต์ (WATER TEMP METER) สำหรับมาตรวัดความร้อน ตามปกติในรถธรรมดาทั่วไป ก็จะมีติดตั้งมาให้เป็นมาตรฐานอยู่แล้ว
    แต่ว่ารถยนต์ทั่วไปนั้นอาจไม่ได้อ่อนไหวในเรื่องของความร้อนมากนัก ค่าแสดงให้เห็นจึงไม่ละเอียดมากนัก ทั้งนี้เป็นเพราะทางโรงงานตั้งใจทำมาอย่างนั้น เพื่อคนขับจะได้ไม่ต้องเป็นห่วงมาก แต่ว่าเมื่อไหร่ที่เกจความร้อนขยับสูงขึ้น นั่นหมายความว่าความร้อนขึ้นค่อนข้างมาก ทว่าถ้าเป็นในรถธรรมดา อาจจะยังไม่ก่อปัญหามากนัก ขณะที่รถยนต์ซึ่งใช้เครื่องยนต์เทอร์โบและมีการโมดิฟาย หรือปรับบูสต์ เรื่องปัญหาความร้อนมีความสำคัญมาก เพราะอาจหมายถึงความเสียหายที่เกิดกับเครื่องยนต์ได้เลยทีเดียว โดยปกติ เซ็นเซอร์ ที่ใช้วัดความร้อนของเครื่องยนต์จะติดตั้งอยู่ตรงท่อน้ำที่ออกจากเครื่อง ซึ่งอุณหภูมิโดยปกติที่เครื่องยนต์ทำงานควรจะอยู่ที่ราว 90-100 องศาเซลเซียส และควรควบคุมไม่ให้สูงขึ้นเกินไปกว่า 120 องศาเซลเซียส หากว่าอุณหภูมิยังสูงขึ้นก็พอมีวิธีแก้ไขคือ เพิ่มขนาดของหม้อน้ำให้ใหญ่ขึ้น เปิดกันชนหน้าให้ลมผ่านเข้าหม้อน้ำได้ง่ายขึ้น หรือไม่ก็เจาะสคูปดักลมบนฝากระโปรงหน้า ให้ลมเข้ามาเป่าห้องเครื่อง วิธีการเหล่านี้พอจะสามารถทำให้เครื่องยนต์เย็นได้บ้างเหมือนกัน

    3. มาตรวัดรอบ (TACHO METER) RPMสำหรับมาตรวัดรอบ ก็เหมือนกับมาตรวัดความร้อน คือรถยนต์ส่วนใหญ่จะมีการติดตั้งมาให้จากโรงงานอยู่แล้ว แต่สาเหตุที่มีบางคนต้องไปติดเพิ่มอาจจะมาจากเหตุผลต่างกันไป บางคนอาจคิดว่าเป็นอุปกรณ์ตกแต่งสร้างความสวยงาม หรือความเท่ แต่กับบางคนอาจจะเป็นสิ่งจำเป็นจริง ๆ อย่างรถยนต์ที่ผ่านการโมดิฟายเปลี่ยนไปใช้แคมฯ องศาสูงมาก ๆ จนทำให้สามารถเร่งรอบได้มากกว่าเดิม ซึ่งวัดรอบที่มีติดมากับรถ ไม่สามารถแสดงข้อมูลได้เพียงพอ จึงต้องหาอันใหม่มาติดเข้าไป หรือในรถยนต์ที่ทำขึ้นมาสำหรับการแข่งขันควอเตอร์ไมล์ซึ่งจังหวะการเปลี่ยนเกียร์ ถือเป็นสิ่งที่ต้องการให้ความสำคัญมาก การตัดสินแพ้ชนะอยู่ที่เวลาเพียงเศษเสี้ยววินาที ดังนั้นมาตรวัดรอบที่มาพร้อมไฟเตือน จึงกลายเป็นอุปกรณ์ช่วยได้อย่างหนึ่ง อย่างไรก็ตามการแพ้ชนะไม่ได้เพียงอุปกรณ์ที่ว่าเท่านั้น จังหวะฝีมือ สมาธิ ในการเปลี่ยนเกียร์ของผู้ขับขี่เป็นเรื่องที่สำคัญกว่า

    4. มาตรวัดอุณหภูมิน้ำมันเครื่อง (OIL TEMP METER) อุณหภูมิน้ำมันเครื่อง มีความสำคัญมากพอสมควร เพราะถือว่ามีผลกระทบกับเครื่องยนต์โดยตรง หากว่าอุณหภูมิของน้ำมันเครื่องสูงเกินไป เครื่องยนต์ก็ไม่สามารถทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ ทั้งนี้อุณหภูมิของน้ำมันเครื่องจะขึ้นอยู่กับคุณภาพของน้ำมันเครื่องที่ใช้ ซึ่งในตลาดน้ำมันเครื่องแยกเป็นหลายประเภท มีทั้งแบบทนความร้อนสูงที่อุณหภูมิสูงถึง 120 องศาเซลเซียส ส่วนบางประเภทอุณหภูมิแค่ 110 องศาเซลเซียส ก็ทนไม่ไหวกลายสภาพเป็นน้ำก็มี โดยปกติของอุณหภูมิน้ำมันเครื่องจะสูง-ต่ำ
    ไปในแนวทางเดียวกับอุณหภูมิของเครื่องยนต์หรืออุณหภูมิหม้อน้ำ ซึ่งถ้าความร้อนของน้ำขึ้น อุณหภูมิของน้ำมันเครื่องก็จะขึ้นตามไปด้วย ทั้งนี้ในสภาพการใช้งานเครื่องยนต์ควรรักษาอุณหภูมิของน้ำมันเครื่องให้อยู่ในช่วง 80-110 องศาเซลเซียส ถ้าหากอุณหภูมิสูงขึ้นไปเกิน 120 องศาเซลเซียส ควรทำให้เย็นลงก่อนจึงใช้งานเครื่องยนต์ต่อไป สำหรับทางออกในการช่วยรักษาอุณหภูมิของน้ำมันเครื่อง รถยนต์ที่ผ่านการโมดิฟายมักมีการใส่ OIL COOLER เข้าไปช่วยก็ทำให้อุณหภูมิน้ำมันเครื่องไม่สูงเกินไป

    5. มาตรวัดแรงดันน้ำมันเครื่อง (OIL PRESSURE METER) มาตรวัดตัวนี้จะมีส่วนสำคัญในการแสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพของ น้ำมันเครื่อง โดยค่าที่แสดงออกมาให้เห็นจะเป็นเวลาที่เครื่องยนต์ทำงานในรอบสูงๆหรือขณะที่เครื่องยนต์ มีอุณหภูมิในการทำงาน เพราะเมื่อน้ำมันเครื่องเจอเข้ากับความร้อนสูง ๆ จะถูกหลอมให้เหลวลง และถ้าน้ำมันเครื่องเหลวมากเท่าไหร่ ประสิทธิภาพความหล่อลื่นก็จะลดลงการสึกหรอ จนถึงการ ระบายความร้อนก็จะลดประสิทธิภาพลงตามไปด้วย ดังนั้นการตรวจสอบตรงจุดนี้จึงมีความสำคัญ ซึ่งมาตรวัดแรงดันน้ำมันเครื่องจะเป็นตัวบ่งบอกข้อมูลนี้ได้ โดยในการแสดงข้อมูลให้เห็นนั้น หากว่ามีแรงดูดน้อย ที่เรียกว่า "แรงดันต่ำ" จะถือว่าการหล่อลื่นไม่ดี เพราะแสดงถึงว่าน้ำมันเครื่องเหลวมาก ใช้แรงดูดน้อยก็ไหลเข้ามาแล้ว ในทางกลับกัน ถ้าน้ำมันเครื่องมีความหนืดมาก แรงดูดก็ต้องใช้แรงมาก เรียกว่า "แรงดันสูง" จะสังเกตได้ว่าเวลาที่น้ำมันเครื่องยังคงเย็น มาตรวัดจะแสดงว่ามีแรงดันสูง แต่เมื่อความร้อนเพิ่มขึ้น น้ำมันเครื่องคลายความหนืดลง ความดันก็จะเริ่มต่ำลงมา สำหรับรถยนต์โดยทั่วไปในขณะวิ่ง แรงดันน้ำมันเครื่องควรอยู่ที่ประมาณ
    3 - 4 kg/cm2 หรือหากสูงมากก็ไม่ควรจะเกิน 6 kg/cm2

    6. มาตรวัดอุณหภูมิท่อไอเสีย (EX. TEMP METER) อุณหภูมิของท่อไอเสีย หลายคนอาจจะมองว่าไม่น่าจะเกี่ยวกับประสิทธิภาพ การทำงานของเครื่องยนต์ ทว่าในความเป็นจริงมันมีส่วนที่สัมพันธ์กับแรงดันน้ำมัน หรือการไหลของอากาศสำหรับรถที่ผ่านการโมดิฟาย นอกจากน้ำมันเครื่องแล้ว ยังมีอีกเรื่องที่สำคัญ ก็คือ ปริมาณการจ่ายน้ำมันเบนซิน ซึ่งปริมาณน้ำมันเบนซินจะมากจะน้อย ก็สามารถวัดได้จากมาตรวัดอุณหภูมิท่อไอเสียนี่เอง ซึ่งหากมีการปรับน้ำมันให้อ่อนลง จะทำให้อุณหภูมิของท่อไอเสียเพิ่มขึ้น แต่ถ้าเป็นในทางตรงกันข้ามน้ำมันแก่ อุณหภูมิของท่อไอเสีย ก็จะต่ำลง ดังนั้นมาตรวัดอุณหภูมิไอเสีย จึงสามารถบอกข้อมูลของรถในขณะวิ่งได้ อย่างไรก็ตามโดยทั่วไป มาตรวัดอากาศไหลเข้า หรือว่ามาตรวัดแรงดันน้ำมันเชื้อเพลิง ก็ใช้บอกข้อมูลในทางเดียวกัน

    7. มาตรวัดแรงดันเชื้อเพลิง (FUEL PRESSURE METER) สำหรับมาตรวัดตัวนี้ใช้เป็นตัวเช็คแรงดันน้ำมันเชื้อเพลิงว่า ในขณะที่เหยียบคันเร่งแล้วน้ำมันขึ้นมาตามปริมาณที่เราออกแรงกดลงไปบนคันเร่งหรือไม่ สำหรับคนที่ใช้รถแบบปรกติหรือใช้บนถนนทั่วไป มาตรวัดตัวนี้คงจะไม่จำเป็น อย่างไรก็ดีหากว่า ปั๊มน้ำมันเชื้อเพลิงหรือหัวฉีดเกิดมีปัญหาขึ้นมา มาตรวัดที่บอกค่าของแรงดันน้ำมันเชื้อเพลิง ก็สามารถเป็นตัวบอกความผิดปกติได้ วิธีดูมาตรวัดตัวนี้ จะใช้ดูค่าในขณะที่รถยนต์ติดเครื่องเดินเบาเป็นหลัก สำหรับรถยนต์ที่มีเทอร์โบติดตั้งอยู่ด้วยค่าของแรงดันนี้จะขึ้นไปตามอัตราการบูสต์ เช่น ค่าที่วัดได้ในขณะเดินเบามีค่าเป็น 3 บาร์ แต่เมื่อเทอร์โบบูสต์ไป 1 บาร์ ค่าบนของมาตรวัดจะชี้ไปที่ 4 บาร์ ซึ่งหากว่าแรงดันนี้ตกลง นั่นหมายถึงว่าขนาดของปั๊มน้ำมันเชื้อเพลิงหรือหัวฉีดที่ใช้ไม่เพียงพอ เสียแล้ว ดังนั้นมาตรวัดตัวนี้จึงมีความจำเป็นไม่น้อยสำหรับรถยนต์เทอร์โบ ซึ่งผู้ขับขี่ความสังเกตค่าแรงดันในขณะที่เดินเบาเป็นหลัก และสังเกตว่าแรงดันน้ำมัน นั้นขึ้นไปตามอัตราการบูสต์หรือไม่

    8. มาตรวัดส่วนผสมของอากาศกับน้ำมันเชื้อเพลิง (A/F METER) มาตรวัดตัวนี้เป็นการเช็คความสมดุลระหว่างอากาศกับน้ำมันเชื้อเพลิง สำหรับ A/F คืออัตราส่วนระหว่างอากาศกับน้ำมันเชื้อเพลิง ซึ่งโดยทั่วไปอัตราส่วนตามหลักการนี้จะต้องมีค่าเท่ากับ 14 ในขณะที่เครื่องเดินเบา เลข 14 ก็จะหมายถึงอากาศ 14 ส่วน/น้ำมัน 1 ส่วน ซึ่งจะผสมอยู่ในห้องเผาไหม้สำหรับจุดระเบิด และค่านี้จะต่ำลงไปในขณะที่มีการเร่งเนื่องจากปริมาณน้ำมันเพิ่มขึ้น และค่า A/F นี้จะสูงขึ้นในขณะที่ทำการถอนคันเร่ง โดยค่า A/F นี้จะถูกแบ่งออกเป็น "บาง" กับ "หนา" ซึ่งถ้าต้องการทำให้รถแรงขึ้น ก็ต้องปรับให้ค่า A/F ให้มีค่าที่บางลง คือการปรับให้น้ำมันน้อยลง-อากาศมากขึ้น อย่างไรก็ตามการปรับในลักษณะดังกล่าว ก็มีผลทำให้อุณหภูมิในห้องเผาไหม้สูงขึ้นได้ จึงจำเป็นต้องมีการปรับอย่างระมัดระวัง ทั้งนี้ค่า A/F ไม่ควรสูงเกินกว่า 12 เพราะนั่นหมายความว่าน้ำมันเชื้อเพลิงน้อยเกินไป ซึ่งในรถที่มีการโมดิฟาย ควรจะให้มีค่า A/F ขณะเร่งอยู่ในช่วง 10.5- 11.5 ก็พอ

    9. แวคคั่ม มิเตอร์ (VACCUM METER) มาตรวัด VACCUM ตัวนี้ จริง ๆ แล้วมันก็อยู่ในมาตรวัดตัวเดียวกับมาตรวัดอัตราบูสต์เทอร์โบ มาตรวัดตัวนี้จะตอบสนองกับ อัตราการเหยียบคันเร่ง ซึ่งสามารถนำมาใช้ในการเช็คความสิ้นเปลืองน้ำมันได้เหมือนกัน สำหรับการดูค่าของมาตรวัดตัวนี้ต้องดูเวลา เครื่องเดินเบา ซึ่งจะดูได้จากค่าสุญญากาศ ถ้าค่าสุญญากาศนี้มีมาก ก็จะถือได้ว่าเครื่องยังคงมีสภาพที่สมบูรณ์ ไม่รั่วซึม แต่ถ้าค่านี้ลดลงไปมาก นั่นก็เป็นไปในทางตรงกันข้าม

  7. #7
    ann.seck
    ผู้เยี่ยมชม

    มาตรฐาน Re: สอบถาม ครับ ไม่ทราบว่าเกด วัดบูส และ ส่วนต่างๆ ของรถจำเป็นไหมครับ

    ที่ติดมากับรถ เช่นพวก water temp นั้น เวลา มันฮีต เข็มมันก็ชี้เด่ ถ้าเราไม่ได้มอง มันก็....แต่ถ้าติดเพิ่ม..ถ้าเป็นแบบ เข็มกวาด จะมีสัญญาน เสียงเตือน ในอุณหภูมิ ที่เราตั้งไว้..ส่วนตัวvolt นั้น เหมาะสมกับ รถ AUTO เพราะเราจะได้รู้ว่า แบตหมด..(เพราะ AUTO เข็นเข้าเกียร์ไม่ได้..จิงเปล่า..

  8. #8
    สมาชิกถาวร TTC-Member
    สมัครเมื่อ
    Mar 2009
    User ID
    5593
    Status
    Offline
    โพส
    1,427

    มาตรฐาน Re: สอบถาม ครับ ไม่ทราบว่าเกด วัดบูส และ ส่วนต่างๆ ของรถจำเป็นไหมครับ

    ขอบคุณมากครับสำหรับข้อมูลดีๆๆ

  9. #9
    สมาชิกถาวร TTC-Member
    สมัครเมื่อ
    Aug 2009
    User ID
    8291
    Status
    Offline
    โพส
    125

    มาตรฐาน Re: สอบถาม ครับ ไม่ทราบว่าเกด วัดบูส และ ส่วนต่างๆ ของรถจำเป็นไหมครับ

    ผมไม่มีความรู้ ติดไปก็เท่านั้นดูไม่เป็นเสียเงินป่าว(ความคิดส่วนตัวครับ)
    มองเข็มวัดความร้อนอย่างเดียวขึ้นเท่าเดิมเป็นใช้ได้

  10. #10
    สมาชิกถาวร TTC-Member
    สมัครเมื่อ
    Jun 2009
    User ID
    7359
    Status
    Offline
    โพส
    241

    มาตรฐาน Re: สอบถาม ครับ ไม่ทราบว่าเกด วัดบูส และ ส่วนต่างๆ ของรถจำเป็นไหมครับ

    เป็นข้อมูลที่ ดีมาก ครับ ขอบคุณมากๆ เลย ครับ วันนี้ไป ติดมาแล้ว ทามเมอร์เป็นแบบ ปากกา 3600 พร้อมติดตั้ง เป็นของยี่ปุ่ญตครับ พอดับ เครื่องแล้ว ก็เดินออกมาจากรถ แว ล็อกรถเลยครับ ไม่ทราบว่าทำแบบนี้ มี ผล ต่อระบบสัญญานกัน ขโมย 2way อย่างไรบ้างครับ

ข้อมูลกระทู้

Users Browsing this Thread

ในขณะนี้มี 1 ท่านดูกระทู้อยู่. (0 สมาชิกและ 1 ผู้เยี่ยมชม)

Bookmarks

กฎการโพสข้อความ

  • ท่าน ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ใหม่ได้
  • ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ได้
  • ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ได้
  • ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขข้อความโพสได้
  •  
  • BB code สถานะ เปิด
  • Smilies สถานะ เปิด
  • [IMG] สถานะ เปิด
  • [VIDEO] code is เปิด
  • HTML สถานะ ปิด